วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555

3R

3R



               3R เป็นอีกหนึ่งกระบวนการในการหยุดภาวะโลกร้อน ซึ่งประกอบไปด้วย Reduce , Reuse และ Recycle เรามาดูกันว่าเจ้า R ทั้งสามตัวนี้จะช่วยโลกได้อย่างไร

R = Reduce
               Reduce หมายถึง ลดการใช้วัสดุสิ้นเปลืองโดยที่ไม่จำเป็น เช่น ใช้ผ้าเช็ดหน้า 1 ผืน ได้ตลอดทั้งวันแทนการใช้กระดาษชำระ จากที่เคยใช้จานกระดาษในงานเลี้ยงต่าง ๆ มาเป็นใช้จานที่สามารถทำความสะอาดได้ เป็นต้น

R = Reuse
               Reuse หมายถึง การนำกลับมาใช้ใหม่จนกว่าจะหมดสภาพการใช้งาน เช่น น้ำอัดลมขวดลิตรเมื่อดื่มหมดแล้วก็นำไปเติมน้ำเปล่าไว้สำหรับดื่ม หรือใช้บรรจุน้ำยาล้างจานชนิดเติมที่เราซื้อมาก็ได้ ถุงพลาสติกที่ได้มาจากการซื้อของก็นำกลับมาใส่ของได้ใหม่จนกว่าจะหมดสภาพการใช้งาน เป็นต้น

R = Recycle
               Recycle หมายถึง การนำไปแปรสภาพก่อนแล้วจึงนำกลับมาใช้ใหม่ เช่น น้ำอัดลมขวดลิตรต้องนำตัดขวดครึ่งเอาไปทำเป็นกระบวยตัดน้ำ เลี้ยงปลากัด ปลูกไม้ประดับขนาดเล็ก การนำเอาขยะพลาสติกทั้งหลาย กลับไปเข้าสู่กระบวนการหลอมละลาย แล้วขึ้นรูปใหม่ กลายเป็นถุงดำ กะละมัง ถังขยะ เป็นต้น

               3R ทั้งหมดทั้งปวงนี้ ก็เพื่อลดปริมาณขยะที่นับวันจะทับถมกองสูงขึ้นเป็นภูเขาเลากา จนไม่มีที่จะให้ทิ้งอีกแล้ว ลดมลพิษที่เล็ดลอดมาจากกองขยะ ไหลปนเปื้อนไปกับน้ำระบายทิ้งสู่แม่น้ำลำคลอง ลดมลพิษจากการเผาขยะ ลดการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ผลิตวัสดุสิ่งของ และลดปริมาณสารประกอบคาร์บอนจากกระบวนการผลิตปลดปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ เพื่อจะให้มีทรัพยากรธรรมชาติไว้ใช้ และโลกใบสวยงามให้อยู่ไปอีกนานๆ ตราบจนชั่วลูกชั่วหลาน

ที่มา :http://www.thaigoodview.com/library/contest2553/type2/science03/26/solution06.html


วิธีลดภาวะโลกร้อน


วิธีลดภาวะโลกร้อน




                       การลดภาวะโลกร้อนเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องช่วยกันทำ เราทุกคนก็ต่างมีส่วนที่ทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้น เพราะเพียงแค่เราหายใจอยู่เฉยๆก็ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาแล้ว ยังไม่รวมถึงกิจกรรมต่างๆมากมายที่เราทำอยู่ทุกๆวัน ถึงเวลาที่เราต้องเลิกคิดว่าภาวะโลกร้อนไม่ใช่ธุระของเรา แล้วหันมาร่วมมือกัน..มาเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาโลกร้อนกันเถอะ

                       ถ้าท่านคิดว่าการลดภาวะโลกร้อนนั้นมันทำได้ยาก หรือคิดว่าท่านคนเดียวช่วยโลกไม่ได้ หรือว่าจะทำตอนนี้มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นแล้ว ท่านกำลังคิดผิด!! ทุกอย่างที่เราทำจะส่งผลดีต่อโลก และมันยังมีเวลาอยู่ ถ้าไม่เริ่มที่ตัวเราก่อนก็ไม่รู้จะให้ไปเริ่มจากตรงไหน แค่เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างของเราทำอยู่ในวันๆหนึ่ง ก็สามารถช่วยลดภาวะโลกร้อนได้แล้ว ผมจะยกตัวอย่างให้ดูซัก 10 ข้อ ผมเชื่อว่ามันใกล้ตัวทุกท่านมาก และสามารถลงมือทำได้เลยด้วยซ้ำ

1. ปรับ Desktop Wallpaper ของท่านให้เป็นสำเข้ม ยิ่งเป็นสีดำเลยยิ่งดี เพราะว่ามันจะประหยัดไฟมากกว่า รวมไปถึง Screen Saver ก็ให้ตั้ง Blank ไว้ มันจะเป็นหน้าจอดำสนิท ปิดคอมพิวเตอร์เมื่อไม่ได้ใช้งาน เช่น ตอนพักเที่ยง และตอนกลับบ้าน

2. พกผ้าเช็ดหน้า แทนที่จะใช้กระดาษทิชชู สมัยนี้มีกระดาษทิชชูห่อสวยๆพกง่ายๆออกมา หลายคนใช้มันแทนผ้าเช็ดหน้า เพราะว่ามันสะดวกและห่อมันก็น่ารักด้วย แต่กระดาษทิชชูผลิตมาจากต้นไม้ ยิ่งใช้มากก็ยิ่งต้องตัดมาก ถ้าไม่จำเป็นก็ให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าดีกว่าครับ เก็บต้นไม้ไว้เป็นปอดให้กับโลกเราบ้างเถอะนะ

3. การชาร์ตแบตมือถือ การชาร์ตแบตมือถือของคนทั่วๆไปเสียพลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์ถึง 95% เพราะว่ามักจะเสียบสายค้างไว้ทั้งๆที่แบตเต็มแล้ว ท่านรู้ไหมว่าถึงแบตจะเต็มแล้วแต่ว่าถ้าไม่ถอดออกมันก็จะยังกินไฟอยู่ ฉะนั้นเวลาแบตเต็มแล้วก็ให้ถอดสายออก แต่ถ้ายังเสียบหม้อแปลงกับเต้าเสียบค้างไว้มันก็ยังกินไฟอยู่ดี เพราะฉะนั้นก็ให้ถอดออกให้หมด

4. ประหยัดน้ำ อย่าใช้น้ำแบบสิ้นเปลือง ถ้ามีโอกาสได้เปลี่ยนก๊อกที่บ้าน ก็ให้ใช้ก๊อกน้ำแบบเพิ่มฟองอากาศ น้ำที่ไหลออกมาจะมีฟองอากาศออกมาด้วยทำให้ดูเหมือนมีน้ำเยอะ แต่จะประหยัดกว่าก๊อกธรรมดาถึงครึ่งหนึ่ง ถ้านึกไม่ออกให้ดูห้องน้ำตามห้าง น้ำที่ไหลออกมาจะเป็นแบบนั้น และเวลาใช้น้ำที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านเราก็ควรจะประหยัดด้วย ไม่ใช่คิดว่าของฟรี หรือเวลาไปพักตามโรงแรมก็อย่าคิดว่าใช้ให้คุ้ม เพราะว่าทำแบบนี้แหละโลกถึงร้อน

5. ประหยัดไฟ ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้และถอดปลั๊กด้วย รวมไปถึงหลอดไฟด้วย ถ้ามีโอกาสก็เปลี่ยนหลอดไส้เป็นหลอดประหยัดไฟ CFL ซะ ที่มันเป็นเกลียวๆ ถึงหลอดพวกนี้จะแพงกว่า แต่ก็ประหยัดไฟกว่ามาก แถมอายุการใช้งานก็ยาวกว่าเยอะ ซึ่งในระยะยาวก็จะคุ้มกว่าแน่นอน

6. ลดใช้ถุงพลาสติก ถุงพลาสติกทำให้เราสะดวกขึ้นก็จริง แต่มันเป็นภัยต่อโลกอย่างมากมาย กว่าถุงที่เราใช้จะย่อยสลายไป ตัวเรานั้นย่อยสลายก่อนมันไปนานแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องใช้ แต่ถ้าต้องใช้จริงๆก็ให้เก็บไว้เพื่อนำไปใช้ครั้งต่อไปได้อีก เวลาจ่ายตลาดก็ให้ใช้ถุงผ้าแทน ถุงผ้าสวยๆก็มีออกมาขายกันเยอะแยะ

7. ลดอาหารแช่แข็ง อาหารแช่แข็งตอนนี้กำลังมีมากขึ้นเรื่อยๆ และก็เห็นมีคนนิยมบริโภคมากขึ้นเหมือนกัน แต่ท่านรู้ไหมว่าขั้นตอนการผลิตนั้นทำให้สิ้นเปลืองพลังงานอย่างมาก เพราะว่ากล่องที่ใส่ก็เป็นพลาสติก ขั้นตอนในการขนส่งก็ต้องเก็บไว้ในที่เย็นตลอดเวลา รวมไปถึงตอนที่อยู่ในร้านด้วย แม้กระทั่งตอนจะกินยังต้องใช้พลังงานในการอุ่นอีก เพราะฉะนั้นถ้าไม่จำเป็นก็อย่ากินเลยครับ มันสิ้นเปลืองพลังงาน กินของสดอร่อยกว่าอีก

8. ใช้จักรยาน เวลาที่ท่านไปทำธุระใกล้ๆบ้าน อาจจะไปซื้อของ จ่ายตลาด นอกจากจะประหยัดน้ำมันในยุคที่น้ำมันแพงแล้ว ยังช่วยให้ท่านได้ออกกำลังกาย มีสุขภาพที่ดีอีกด้วย ไม่ต้องไปเสียเงินเข้าฟิตเนสแพงๆ

9. ลดการ Shopping หลายคนนั้นการ Shopping เป็นอะไรที่มีความสุขเหลือเกิน แต่ก็ขอให้ลดการซื้อแบบสิ้นเปลืองลงบ้าง บางทีก็ซื้อๆไปอย่างนั้นแหละ แต่ก็ได้ใส่แค่ครั้งสองครั้ง บางชิ้นอาจไม่ได้ใส่ด้วยซ้ำ แต่อยากซื้อ..อะไรที่คิดว่าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องซื้อหรอกครับ เอาแค่อันที่เราจะใส่จริงๆ เพราะว่ามันต้องใช้พลังงานมากมายในอุตสาหกรรมพวกนี้

10. ปลูกต้นไม้ ผมว่ามนุษย์ทุกคนชอบธรรมชาติ เวลาที่เราได้เห็นสถานที่ที่มีธรรมชาติงดงาม ไม่ว่าจะเป็นป่าไม่ที่เขียวชอุ่ม น้ำใสๆ ชายหาดที่ขาวสะอาด เราจะรู้สึกสบายใจและชอบมัน แต่ว่าพวกเราก็ไม่ได้ช่วยกันรักษามัน เพราะฉะนั้นถ้ามีเวลาก็ให้ช่วยกันปลูกต้นไม้ อาจจะเป็นที่สวนหน้าบ้านได้ หรือมีเนื้อที่ตรงไหนก็ปลูกตรงนั้น ใส่กระถางไว้ก็ได้ นอกจากจะทำให้บ้านดูสวยขึ้นแล้ว ยังจะช่วยลดก๊าซพิษในอากาศได้อีกด้วย

ที่มา :http://www.greentheearth.info/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99/

โลกเร่าร้อน น้ำแข็งขั้วโลกหลอมละลาย


โลกเร่าร้อน น้ำแข็งขั้วโลกหลอมละลาย



            กระแสข่าวโลกร้อน มาแรงแซงโค้งข่าวอื่นใดในบรรดาข่าวสิ่งแวดล้อม เริ่มตั้งแต่กลางปีที่องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งสหรัฐอเมริกา(นาซา) ออกแถลงการณ์การตรวจวัดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นตัวการหลักในการทำให้เกิดปัญหาโลกร้อนในชั้นบรรยากาศโลกว่าขณะนี้ถึงขั้นสูงสุด คือวัดได้ 383 ส่วนในล้านส่วน ยังไม่นับรวมถึงปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่อยู่ระหว่างการเดินทางถึงชั้นบรรยากาศว่ามีปริมาณเท่าไร ทั้งนี้ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ดังกล่าวอยู่ในชั้นบรรยากาศได้นาน 50-200 ปี

          นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกคาดการณ์กันว่า อีกไม่ถึง 3 ปี จะเกิน 400 ส่วนในล้านส่วนแน่นอน และเมื่อใดที่เกิน 450 ส่วนในล้านส่วน อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะเพิ่มขึ้นอีก 2 องศา เซลเซียส เมื่อนั้นอัตราความเร็วของการละลายน้ำแข็งขั้วโลกก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วย

          ข่าวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องปรากฏการณ์โลกร้อนที่สะเทือนวงการสิ่งแวดล้อมอีกเรื่องคือ ปรากฏการณ์คลื่นน้ำเย็นที่ไหลเข้ามาในน่านทะเลไทย โดยกระแสคลื่นน้ำเย็นนี้มีต้นกำเนิดจากหมู่เกาะนิโคบา ทั้งนี้ปกติแล้วอุณหภูมิในทะเลอันดามันจะอยู่ที่ 26 องศาเซลเซียส แต่บางช่วงกลับวัดได้เพียง 15 องศาเซลเซียสเท่านั้น กระแสคลื่นน้ำเย็นนี้จะเข้ามาเป็นช่วงๆครั้งละประมาณ 15 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ทำให้ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดต่ำลงด้วยเป็นสาเหตุให้ปะการังอ่อนและสัตว์น้ำช็อคตาย!


ที่มา :http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=switchearth&month=07-2008&date=16&group=1&gblog=47

แก๊สเรือนกระจก (Greenhouse gas)

Greenhouse gas




                  กิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ได้กลายเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั่วโลก นับตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรมเริ่มขึ้น โดยได้เพิ่มการใช้พื้นที่ดิน น้ำ แร่ธาตุและแหล่งธรรมชาติอื่นๆ รวมถึงการเติบโตขึ้นของประชากรและเศรษฐกิจซึ่งส่งผลกระทบต่อโลกในอนาคต   ภูมิอากาศ ตลอดจนกระบวนการทางชีวเคมีของโลก (Biogeochemical) และระบบนิเวศน์ในธรรมชาติต่างๆซึ่งเชื่อมกันใกล้ชิดยิ่งขึ้น ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในระบบใดระบบหนึ่ง อาจส่งผลกระทบถึงระบบอื่นๆ ซึ่งสามารถให้ผลที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตต่างๆ สสารพวกก๊าซและอนุภาคต่างๆที่เกิดจากมนุษย์ได้ถูกปล่อยสู่บรรยากาศทำให้สมดุลพลังงานในบรรยากาศเปลี่ยนไปซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบบรรยากาศ น้ำ และสิ่งมีชีวิต  อย่างไรก็ตามมนุษย์ยังมีความรู้ความเข้าใจไม่เพียงพอเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของบรรยากาศ และความสัมพันธ์ของมันระหว่างระบบต่างๆ ความไม่แน่ชัดส่วนมากทางด้านเคมีในบรรยากาศและมหาสมุทรเนื่องมาจากการขาดแคลนข้อมูลจากการตรวจวัดที่เพียงพอ องค์การอุตุนิยมวิทยาโลกได้เริ่มโครงการเฝ้าติดตามบรรยากาศ (WMO/ GAW) ขึ้นในปี 1989 เพื่อส่งเสริมการตรวจวัดที่เป็นระบบและเชื่อถือได้ รวมทั้งก๊าซเรือนกระจก (CO2, CH4, CFCs, N2O, etc.) และก๊าซอื่นๆ เช่น CO, NOx และ SO2 ในบรรยากาศ เดือนตุลาคม 1990 WMO ได้ก่อตั้งศูนย์ข้อมูลก๊าซเรือนกระจกโลก (World Data Centre of Greenhouse Gases; WDCGG) ขึ้น ณ สำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งญี่ปุ่น เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการเก็บรวบรวม การทำเอกสาร และเผยแพร่ข้อมูลก๊าซเรือนกระจกที่เกี่ยวข้องในบรรยากาศและมหาสมุทร สำหรับโครงการเฝ้าติดตามบรรยากาศทั่วโลก ดังนั้น WDCGG จึงเก็บรวบรวมข้อมูลจากทุกสถานีตรวจวัดทั่วโลกที่อยู่ในโครงการนี้และโครงการวิจัยต่างๆ ตลอดจนการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกและก๊าซอื่นๆ จากข้อมูลที่มีอยู่ และมีการรายงานผลการวิเคราะห์โดยสรุปเป็นระยะๆ ก๊าซเรือนกระจก ต่างๆ จะถูกปล่อย  เปลี่ยนรูปและสลายไปในบรรยากาศได้หลายทางเช่น คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ถูกปล่อยจากกิจกรรมมนุษย์จำพวก การสันดาปเชื้อเพลิงฟอสซิล และถ่ายเทแลกเปลี่ยนกับสิ่งมีชีวิตโดยการหายใจ การสังเคราะห์แสง และจากมหาสมุทร ส่วนการเปลี่ยนรูปของคาร์บอนไดออกไซด์ ในบรรยากาศเองมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  มีเทน (CH4) มักถูกปล่อยที่ผิวโลกสู่บรรยากาศโดยขบวนการหายใจที่ไม่ใช้อากาศของแบคทีเรีย (anaerobic) และจากการสังเคราะห์อื่นๆ การสลายตัวโดยการออกซิเดชันกับอนุมูลไฮดรอกซิล (OH) ในบรรยากาศ สารบางชนิดเช่นโอโซนจะเกิดและสลายตัวในบรรยากาศผ่านขบวนการโฟโตเคมีคัลจุดมุ่งหมายของการตรวจวัดก๊าซเรือนกระจกคือ เพื่อติดตามความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาความรู้ความเข้าใจ ในกลไกการผลิต/การปล่อย และการสลายตัว ตลอดจนการเตรียมข้อมูลเพื่อการทำนายการเปลี่ยนแปลงของก๊าซเรือนกระจก   WDCGG มีบทบาทในการรวบรวม วิเคราะห์ จัดทำเอกสารและเผยแพร่ข้อมูลความเข้มข้นของก๊าซต่างๆ จากการตรวจวัดที่มีรายงานในช่วงปีที่ผ่านมา


1. คาร์บอนไดออกไซด์ ( CO2)


                 ระดับของคาร์บอนไดออกไซด์มีผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนมากกกว่าก๊าซเรือนกระจกชนิดอื่นๆโดยมีค่าเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรมมีค่าสูงถึง 381.2 ส่วนในล้านส่วนในปี 2006 (สูงกว่าปี 2005 เท่ากับ 2.0 ส่วนในล้านส่วน) คิดเป็นอัตราส่วนผสมเท่ากับ 136 เปอร์เซ็นต์ ในระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม พบมากในแถบละติจูดกลางและละติจูดสูงๆทางบริเวณตอนเหนือของซีกโลกเนื่องจากแหล่งผลิตส่วนมากอยู่ในบริเวณนี้ในขณะที่บริเวณตอนใต้พื้นที่ส่วนมากจะเป็นมหาสมุทร
อัตราการเพิ่มเฉลี่ยของคาร์บอนไดออกไซด์ในช่วงปี 1996-2006 คิดเป็น 1.93 ส่วนในล้านส่วนต่อปีโดยอัตราการเพิ่มสูงสุดในปี 1987/1988 1997/1998 2002/2003 และ 2005 เกินกว่า 2 ส่วนในล้านส่วนต่อปีส่งผลทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นในช่วงดังกล่าวประกอบกับเหตุการณ์เอนโซ (ENSO) ในปี 1997/1998 ที่ผิดปกติส่งผลทำให้ระดับของคาร์บอนไดออกไซด์สูงขึ้นทั่วโลกในปี 1998


2. มีเทน ( CH4)


                 มีเทนเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีความสำคัญเป็นอันดับสองรองจากคาร์บอนไดออกไซด์ระดับของมีเทนมีค่าเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ค่าเฉลี่ยรายปีเท่ากับ 1782 ส่วนในพันล้านส่วนในปี 2006 (ลดลง 1 ส่วนในพันล้านส่วนในปี 2005) คิดเป็นอัตราส่วนผสมเท่ากับ 255 เปอร์เซ็นต์ ในระดับก่อนยุค อุตสาหกรรม การเพิ่มขึ้นของมีเทนพบมากแถบละติจูดกลางถึงบริเวณเขตร้อนในซีกโลกเหนือมากกว่าซีกโลกใต้ทั้งนี้เนื่องจากแหล่งผลิตส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณนี้ การเพิ่มขึ้นของมีเทนทั่วโลกเฉลี่ยในช่วงปี 1984-1990 เท่ากับ 11.5 ส่วนในพันล้านส่วนต่อปี และเพิ่มขึ้นอีกในช่วงปี 1995-2005 เท่ากับ 2.8 ส่วนในพันล้านส่วนต่อปี โดยการลดลงจะมีในบางปีคือปี 1990 และ1992 อย่างก็ตามค่าเฉลี่ยทั้ง 2 ซีกโลกพบว่ามีค่าสูงในปี 1998 ซึ่งเป็นสาเหตุให้อุณหภูมิทั่วโลกสูงขึ้น ต่อมาในปี 2002 และ 2003 มีการเพิ่มขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเหตุการณ์เอลนีโญ (El Nino)
                  อัตราการเพิ่มขึ้นและลดลงของก๊าซมีเทนเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลโดยจะมีค่าสูงในช่วงฤดูหนาวและมีค่าต่ำในช่วงฤดูร้อน


3. ไนตรัสออกไซด์ ( N2O)

                 ไนตรัสออกไซด์ เป็นก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญซึ่งมีระดับสูงขึ้นทั่วโลก จากข้อมูลที่ส่งให้กับศูนย์ข้อมูลก๊าซเรือนกระจกโลกแสดงให้เห็นถึงอัตราส่วนที่มีค่าสูงขึ้นทั้ง 2 ซีกโลกโดยมีค่าสูงสุดในปี 2006 เท่ากับ 320.1 ส่วนในพันล้านส่วน ซึ่งสูงขึ้นจากปี 2005 เท่ากับ 0.8 ส่วนในพันล้านส่วน อัตราการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยในช่วงปี 1996-2006  เท่ากับ 0.76 ส่วนในพันล้านส่วนต่อปี คิดเป็นอัตราส่วนผสมเท่ากับ 119 เปอร์เซ็นต์ ในระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม

4. ฮาโลคาร์บอน (HC)

                 ฮาโลคาร์บอน คือสารประกอบคาร์บอนที่ รวมตัวกับ ฟลูออรีน คลอรีน โบรมีน หรือ ไอโอดีน   ฮาโลคาร์บอน ที่ประกอบด้วยคลอรีน เช่น คลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFCs), ไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (HCFCs), คาร์บอนเตตระคลอไรด์ (CCl4), เมธิลคลอโรฟอร์ม (CH3CCl3) และรวมกับโบรมีน ที่เรียกว่า ฮาลอน (halon) ซึ่งเป็นสารที่มีประสิทธิภาพในการทำลายชั้นโอโซน ส่วนมากมักเกิดจากการสังเคราะห์ การลดลงของชั้นโอโซนมีผลทำให้พลังงานมีการแผ่รังสีเป็นลบ และพลังงานการแผ่รังสีสุทธิโดยฮาโลคาร์บอนจะน้อยกว่าพลังงานการแผ่รังสีตรง CFCs ต่างๆ จะถูกสลายตัวโดยแสงอาทิตย์ช่วงอัลตราไวโอเลตในชั้นสตราโตสเฟียร์และมีช่วงชีวิตยาว เช่น CFC-11 =50 ปี อย่างไรก็ตาม HCFCs และ เมธิลคลอโรฟอร์ม ซึ่งเป็นโมเลกุลที่ประกอบด้วยไฮโดรเจน จะทำปฏิกิริยากับอนุมูลไฮดรอกซิลในชั้นโทรโพสเฟียร์ ทำให้มีช่วงชีวิตที่สั้น (เมธิลคลอโรฟอร์มมีช่วงชีวิต ประมาณ 5 ปี) ระดับของฮาโลคาร์บอน เช่น ซีเอฟซีต่างๆ ได้เพิ่มขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี หรือมากกว่านั้นในทศวรรษที่ 1970 แต่ปัจจุบันได้หยุดการเพิ่มขึ้นแล้วเนื่องจากกฏหมายที่ห้ามการผลิตและการปล่อยสารทำลายโอโซนในพิธีสารมอนทรีออลและการแก้ไขต่างๆในเวลาต่อมา
                 แนวโน้มระยะยาวของ ก๊าซฮาโลคาร์บอนต่างๆ มีดังนี้
                                  CFC-11         สูงสุดปี 1992 หลังจากนั้นเริ่มลดลง
                                  CFC-12         ลดลงตั้งแต่ปี 1990 จนปัจจุบันมีค่าเข้าใกล้ศูนย์ิ่
                                  CFC-113       หยุดการเพิ่มตั้งแต่ปี 1990 และ มีแนวโน้มจะหยุดเพิ่มในเร็วๆนี้
                                  HCFC-141b และ HCFC-142b ซึ่งใช้เป็นสารทดแทน CFC มีค่าเพิ่มขึ้น
                                  CCl4              เพิ่มขึ้นสูงสุดในปี 1991 หลังจากนั้นจึงมีการลดลงอย่างช้าๆส่วน
                                  CH3CCl3       สูงสุดในปี 1992 จากนั้นลดลงอย่างชัดเจน





ที่มา :http://ozone.tmd.go.th/gg06.htm

ภาวะโลกร้อน (Global Warming)

Global Warming





         ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) เป็นปัญหาใหญ่ของโลกเราในปัจจุบัน สังเกตได้จาก อุณหภูมิ ของโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุหลักของปัญหานี้ มาจาก ก๊าซเรือนกระจก ค่ะ (Greenhouse gases)

         ปรากฏการณ์เรือนกระจก มีความสำคัญกับโลก เพราะก๊าซจำพวก คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ มีเทน จะกักเก็บความร้อนบางส่วนไว้ในในโลก ไม่ให้สะท้อนกลับสู่บรรยากาศทั้งหมด มิฉะนั้น โลกจะกลายเป็นแบบดวงจันทร์ ที่ตอนกลางคืนหนาวจัด (และ ตอนกลางวันร้อนจัด เพราะไม่มีบรรยากาศ กรองพลังงาน จาก ดวงอาทิตย์) ซึ่งการทำให้โลกอุ่นขึ้นเช่นนี้ คล้ายกับหลักการของ เรือนกระจก (ที่ใช้ปลูกพืช) จึงเรียกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) ค่ะ

        แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของ CO2 ที่ออกมาจาก โรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์ หรือการกระทำใดๆที่เผา เชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ) ส่งผลให้ระดับปริมาณ CO2 ในปัจจุบันสูงเกิน 300 ppm (300 ส่วน ใน ล้านส่วน) เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 แสนปี

        ซึ่ง คาร์บอนไดออกไซด์ ที่มากขึ้นนี้ ได้เพิ่มการกักเก็บความร้อนไว้ในโลกของเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็น ภาวะโลกร้อน ดังเช่นปัจจุบัน

         ภาวะโลกร้อนภายในช่วง 10 ปีนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 มานี้ ได้มีการบันทึกถึงปีที่มีอากาศร้อนที่สุดถึง 3 ปีคือ ปี พ.ศ. 2533, พ.ศ.2538 และปี พ.ศ. 2540 แม้ว่าพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังมีความไม่แน่นอนหลายประการ แต่การถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ได้เปลี่ยนหัวข้อจากคำถามที่ว่า "โลกกำลังร้อนขึ้นจริงหรือ" เป็น "ผลกระทบจากการที่โลกร้อนขึ้นจะส่งผลร้ายแรง และต่อเนื่องต่อสิ่งที่มีชีวิตในโลกอย่างไร" ดังนั้น ยิ่งเราประวิงเวลาลงมือกระทำการแก้ไขออกไปเพียงใด ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งร้ายแรงมากขึ้นเท่านั้น และบุคคลที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ ลูกหลานของพวกเราเอง


ที่มา : http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/lopburi/usa_s/global_warming/sec01p01.html